วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

พยานเดี่ยวมีน้ำหนักน้อย

คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๙๔๗/๒๕๕๔
ป.วิ.อ. การรับฟังพยาน  พยานเบิกความขัดกันเอง (มาตรา ๒๒๗)
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ (มาตรา ๑๕ , ๖๖)
               เจ้าพนักงานตํารวจจับกุมจําเลยและยึดเมทแอมเฟตามีน จํานวน ๑๐๐ เม็ด โทรศัพท์เคลื่อนที่ ๑ เครื่อง เป็นของกลาง ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ จำเลยนําสืบต่อสู้ว่าถูกกลั่นแกล้งและไม่มีการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยอย่างที่พยานโจทก์กล่าวอ้าง การที่จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเพราะถูกทำร้าย
              ร้อยตํารวจเอก ก. กับดาบตํารวจ อ. เป็นประจักษ์พยานรู้เห็นการจับกุมจำเลยในคดีล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจําเลยด้วยกัน ร้อยตํารวจเอก ก. เบิกความว่า เมื่อจับกุมจำเลยได้แล้วผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานได้ขึ้นไปตรวจค้นห้องพักของจําเลยไม่พบเมทแอมเฟตามีน แต่ดาบตำรวจ อ. กลับเบิกความว่า พยานพร้อมกับจําเลยได้ขึ้นไปตรวจค้นห้องพักของจําเลยพบเศษเมทแอมเฟตามีนอยู่ในห้องมากพอสมควร พยานได้ยึดเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวส่งให้แก่ร้อยตํารวจเอก ก.
              พยานทั้งสองปากเป็นเจ้าหน้าที่ตํารวจที่ทําหน้าที่สืบสวนจับกุมความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ น่าจะต้องรู้ดีว่าเมทแอมเฟตามีนที่พบเป็นพยานหลักฐานอันสําคัญที่จะพิสูจน์การกระทําความผิดของจำเลย ไม่น่าที่ร้อยตำรวจ ก. จะไม่ใส่ใจจนถึงกับจําไม่ได้ และเบิกความว่าไม่มีสิ่งของผิดกฎหมายในห้องพักของจำเลย คำเบิกความของพยานสองปากขัดกันในสาระสําคัญ
              การล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนคดีนี้ นัดส่งมอบกันบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งอยู่นอกเขตรับผิดชอบของสถานีตํารวจที่ร้อยตํารวจเอก ก. สังกัดอยู่ การออกไปปฏิบัติหน้าที่นอกเขตรับผิดชอบต้องกระทําด้วยความระมัดระวังและต้องแจ้งให้เจ้าพนักงานตํารวจเจ้าของพื้นที่ทราบเพื่อป้องกันการเข้าใจผิดขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติการต้องบันทึกการปฏิบัติภารกิจดังกล่าวให้เป็นหลักฐานเพื่อให้ตรวจสอบความบริสุทธิ์ของตนไว้ในบันทึกประจําวันของส่วนราชการของตนด้วย แต่ร้อยตํารวจเอก ก. กลับกระทำโดยไม่ได้มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ไม่มีการแจ้งให้เจ้าพนักงานตํารวจเจ้าของพื้นที่ทราบเพื่อป้องกันการเข้าใจผิดและเกิดเหตุขัดแย้งกันขึ้นได้ โดยอ้างว่าเป็นสายลับให้ตํารวจเจ้าของพื้นที่เกรงว่าจะมีการช่วยเหลือกันทั้ง ๆ ที่ ร้อยตำรวจเอก ก. เบิกความว่า ไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อนแล้วจะทราบได้อย่างไรว่าจําเลยเคยเป็นสายลับ พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวจึงขัดแย้งกันเองและขัดต่อเหตุผลเป็นพิรุธมีเหตุอันควรสงสัย ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย และฟังไม่ได้ว่ามีการล่อซื้อได้เมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลย จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๔๒๘/๒๕๕๓
ป.วิ.อ. การรับฟังพยาน พยานเดี่ยว (มาตรา ๒๒๗ วรรคสอง)
              เจ้าพนักงานตำรวจที่ไปร่วมจับกุมจำเลยตามบันทึกการจับกุม มีจำนวนถึง ๑๒ คน แต่มีสิบตำรวจตรี ส. ไปซุ่มดูการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนเพียงคนเดียว โดยไม่มีเหตุผลว่า เหตุใดจึงมิให้เจ้าพนักงานตำรวจคนอื่น ได้รู้เห็นเหตุการณ์ในฐานะประจักษ์พยานด้วย เมื่อสายลับซึ่งเป็นประจักษ์พยานอีกหนึ่งปาก โจทก์ก็ไม่ได้อ้างและนำสืบ ดังนี้ ย่อมเป็นการนำสืบพยานเดี่ยวในกรณีที่สามารถนำสืบพยานคู่ได้ ทำให้จำเลยไม่มีโอกาสตรวจสอบด้วยการถามค้าน คำเบิกความของสิบตำรวจตรี ส. จึงมีน้ำหนักน้อย
              ส่วนการตรวจค้นบ้าน และพบเมทแอมเฟตามีน จำนวน ๑๐ เม็ด กับธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อจำนวน ๒๐๐ บาท ปรากฏจากคำเบิกความว่ามีเพียงสิบตำรวจตรี ว. และสิบตำรวจตรี ช. เพียงสองคน แต่โจทก์ก็ไม่ได้นำสิบตำรวจตรี ช. มาเป็นพยาน ซึ่งเป็นการนำสืบพยานเดี่ยวในกรณีที่สามารถนำสืบพยานคู่ได้ ทำให้จำเลยไม่มีโอกาสตรวจสอบด้วยการถามค้านเช่นกัน คำเบิกความของสิบตำรวจตรี ว. จึงมีน้ำหนักน้อย
              ก่อนทำการตรวจค้น จำเลยได้ขอให้นาย ย. ผู้ใหญ่บ้านมาเป็นพยาน แต่เจ้าพนักงานตำรวจกลับทำการตรวจค้นไปก่อน ขณะที่ภริยาของจำเลยไปตามนาย ย. จริง แม้ธนบัตรของกลาง ๒๐๐ บาท ที่ตรวจพบจะมีหมายเลขตรงกับสำเนาภาพถ่ายรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีก็ตาม แต่เนื่องจากเอกสารรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเป็นเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงานตำรวจ จึงไม่อาจฟังได้สนิทใจว่า จะไม่มีการลงรายละเอียดในภายหลัง ดังนั้น การตรวจค้นและยึดเมทแอมเฟตามีนกับธนบัตร ๒๐๐ บาท ของกลาง ยังมีความน่าสงสัยอยู่ว่าจะเป็นของจำเลยหรือไม่ พยานหลักฐานโจทก์มีความน่าสงสัย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย