วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ข้อแตกต่างข้อหาสมคบและสนับสนุน

พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.๒๕๓๔

             เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.๒๕๓๔ ก็เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามของเจ้าหน้าที่ให้สามารถดำเนินการกับขบวนการค้ายาเสพติดได้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะได้เพิ่มเติมฐานความผิดที่เป็นลักษณะพิเศษ คือ ความผิดฐานสมคบตามมาตรา ๘  นอกจากนี้ ยังมีการริบทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยใช้มาตรการริบทรัพย์สิน อันเป็นผลที่ตามต่อเนื่องมาจากการจับกุมด้วย
             ในช่วงที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ยังไม่ออกใช้บังคับ ผู้สืบสวนก็ต้องรอว่าเมื่อใดจะสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้พร้อมของกลาง ส่วนพยานหลักฐานที่รวบรวมมาก็แทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร เพราะต้องรอจับกุมตัวการใหญ่ได้พร้อมของกลางเท่านั้น พระราชบัญญัตินี้จึงออกมาเพื่ออุดช่องว่าง และอาศัยพยานหลักฐานต่าง ๆ ก็เพียงพอที่จะนำตัวการที่อยู่เบื้องหลัง มาลงโทษได้ดีกว่าพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ เพียงอย่างเดียว        

            "มาตรา ๘  ผู้ใดสมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้นั้น สมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
              ถ้าได้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันตามวรรคหนึ่ง ผู้สมคบกันนั้นต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น"

              การสมคบ คือ การแสดงออกซึ่งความตกลงจะกระทำผิดร่วมกัน ไม่เพียงแต่คุยชักชวนกันเท่านั้น แต่จะต้องมีหลักฐานที่แสดงถึงการตกลง เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดนั้นประกอบ โดยไม่ต้องคำนึงว่าได้กระทำความผิดตามที่ได้สมคบกันหรือไม่ การสมคบจึงเทียบเคียงกับฎีกาในเรื่องซ่องโจร กล่าวคือ ต้องมีพยานยืนยันได้ว่า จำเลยกับพวกได้คบคิดร่วมกันประชุมปรึกษาหารือกันที่ไหน เมื่อใด และได้ตกลงกันจะกระทำความผิดอย่างใด ดังนั้น ความผิดฐานสมคบตามมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง ก็จะต้องมีพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า มีการตกลงกัน หาใช่ว่าเมื่อฟังว่าเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดแล้ว จะต้องรับฟังเป็นยุติได้ว่าได้กระทำความผิดฐานสมคบด้วยแต่อย่างใดไม่
              กรณีการจะซื้อจะขายยาเสพติด ซึ่งผู้ขายมีเจตนาขาย ผู้ซื้อมีเจตนาซื้อ ทั้งสองแม้มีเจตนาต่างกัน แต่เมื่อมีการตกลงกันแล้ว ก็ถือได้ว่ามีการสมคบกันที่จะกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดแล้ว หาใช่ว่าจะต้องมีเจตนาเดียวกันหรือเจตนาร่วมกันไม่ และการสมคบต้องมีเจตนาพิเศษ เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และมีเจตนาธรรมดา คือ รู้สำนึกในการที่กระทำและขณะเดียวกันประสงค์ต่อผลนั้นโดยรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอก
             เมื่อได้มีการตกลงกันแล้วแม้คนใดคนหนึ่งไปลงมือกระทำความผิด อีกคนหนึ่งก็ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้ลงมือด้วยตามมาตรา ๘ วรรคสอง แม้ผู้นั้นจะไม่ได้ร่วมลงมือกระทำความผิดในลักษณะของตัวการร่วมก็ได้ เช่น  ก. จัดหารถยนต์และทำช่องลับบรรจุยาเสพติด แล้ว ข. ทำหน้าที่ขับรถไปรับยาเสพติดไปขาย  การกระทำของ ก. ไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่เป็นความผิดฐานสมคบ
            เมื่อมีการสมคบกัน ต่อมา ได้มีการกระทำความผิดหลักจนสำเร็จ ความผิดฐานสมคบและความผิดหลักเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษบทหนัก
            ถ้าความผิดหลักอยู่ในระหว่างการสอบสวน ยังไม่ได้ฟ้องคดีต่อศาล ย่อมสามารถดำเนินคดีกับผู้ที่ถูกฟ้องในข้อหาสมคบได้ โดยการแจ้งข้อหาเพิ่มเติม และฟ้องคดีไปในคราวเดียวกันกับความผิดข้อหาหลัก เมื่อศาลฟังได้ว่าผู้ที่ลงมือกระทำความผิดหลักได้กระทำความผิดฐานสมคบด้วย ศาลจะลงโทษในความผิดหลักเพียงบทเดียว แต่ถ้าความผิดหลักได้ฟ้องคดีต่อศาลไปแล้ว ภายหลังหากฟ้องผู้กระทำผิดในข้อหาสมคบอีก ก็จะเป็นฟ้องซ้อนหรือฟ้องซ้ำ

             "มาตรา ๖  ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้ใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น
            (๑) สนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด
            (๒) จัดหาหรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ยานพาหนะ สถานที่หรือวัตถุใด ๆ เพื่อประโยชน์ หรือให้ความสะดวกแก่การกระทำความผิด หรือเพื่อมิให้ผู้กระทำความผิดถูกลงโทษ
            (๓) จัดหาหรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ที่ประชุม ที่พำนัก หรือที่ซ่อนเร้นเพื่อช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำความผิด หรือเพื่อช่วยให้ผู้กระทำความผิดพ้นจากการถูกจับกุม
            (๔) รับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด จากผู้กระทำความผิดเพื่อประโยชน์หรือให้ความสะดวกแก่การกระทำความผิด หรือเพื่อมิให้ผู้กระทำความผิดถูกลงโทษ
            (๕) ปกปิด ซ่อนเร้นหรือเอาไปเสียซึ่งยาเสพติดหรือวัตถุใด ๆ ที่ใช้ในการกระทำความผิดเพื่อช่วยเหลือผู้กระทำความผิด
            (๖) ชี้แนะ หรือติดต่อบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์ในการกระทำความผิด
            ผู้ใดจัดหาหรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ที่พำนักหรือที่ซ่อนเร้นเพื่อช่วยบิดา มารดา บุตร สามี หรือภริยาของตนให้พ้นจากการถูกจับกุม ศาลจะไม่ลงโทษผู้นั้นหรือลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้"

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ฐานความผิดตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ

พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.๒๕๓๔

              "ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด" ได้แก่
                     (๑) การผลิต  (๒) นำเข้า  (๓) ส่งออก  (๔) จำหน่าย  (๕) มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
และรวมถึง การสมคบ สนับสนุน ช่วยเหลือ หรือพยายามกระทำความผิด ๕ ฐานความผิด นั้นด้วย

              "ทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องการกระทำความผิด" หมายความว่า
                      -  เงิน หรือทรัพย์สิน ที่ได้รับมาเนื่องจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และให้หมายความรวมถึง
                     -  เงิน หรือทรัพย์สิน ที่ได้มาโดยการใช้เงินหรือทรัพย์สินดังกล่าว หรือการกระทำไม่ว่าด้วยประการใด ให้เงินหรือทรัพย์สินเปลี่ยนสภาพไปจากเดิม ไม่ว่าจะเปลี่ยนสภาพกี่ครั้ง และไม่ว่าเงินหรือทรัพย์สินนั้นจะอยู่ในความครอบครองของบุคคลอื่น โอนไปเป็นของบุคคลอื่น หรือปรากฏตามหลักฐานทางทะเบียนว่าเป็นของบุคคลอื่นก็ตาม

              "การกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดนอกราชอาณาจักร จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร คือ
                   -  ผู้กระทำผิดหรือผู้ร่วมกระทำผิด เป็นคนไทย หรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย
                   -  ผู้กระทำผิด เป็นคนต่างด้าวและได้กระทำโดยประสงค์ให้ความผิดเกิดขึ้นในราชอาณาจักร หรือรัฐบาลไทยเป็นผู้เสียหาย
                  -  ผู้กระทำผิด เป็นคนต่างด้าวและการกระทำผิดนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายของรัฐที่การกระทำความผิดเกิดขึ้นในเขตอำนาจของรัฐนั้น หากผู้นั้นได้ปรากฎตัวอยู่ในราชอาณาจักร และมิได้มีการส่งตัวผู้นั้นออกไปตามกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน"

             "มาตรา ๖  ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการ
                 -  สนับสนุน หรือช่วยเหลือผู้กระทำผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด
                 -  จัดหา หรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ยานพาหนะ สถานที่หรือวัตถุใด ๆ เพื่อประโยชน์หรือให้ความสะดวกแก่การกระทำความผิด หรือเพื่อมิให้ผู้กระทำผิดถูกจับกุม
                 -  จัดหา หรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ที่ประชุม ที่พำนักหรือซ่อนเร้น เพื่อช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่การกระทำความผิด หรือเพื่อมิให้ผู้กระทำผิดถูกลงโทษ
                 -  ปกปิด ซ่อนเร้นหรือเอาไปเสียซึ่งยาเสพติด หรือวัตถุใด ๆ ที่ใช้ในการกระทำผิด เพื่อช่วยเหลือผู้กระทำผิด
                 -  ชี้แนะ หรือติดต่อบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์ในการกระทำความผิด"

             "มาตรา ๗  ผู้พยายามกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น เช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จ"

             "มาตรา ๘  ผู้สมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
                 -  สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๕ ปี ปรับไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท
                 -  เมื่อมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เพราะเหตุมีการสมคบกันตามวรรคหนึ่ง ผู้สมคบต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น"

             "มาตรา ๑๐  ข้าราชการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น"

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  ๓๓๒๒/๒๕๔๘
ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๒
พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.๒๕๓๔ มาตรา ๗
            พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.๒๕๓๔ เป็นกฎหมายคนละฉบับกับพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ ทั้งมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า “ผู้ใดพยายามกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จ” ซึ่งเป็นการบัญญัติว่าผู้ใดกระทำความผิดฐานพยายามกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต้องระวางโทษเท่าใด จึงเป็นทั้งบทความผิดและบทลงโทษในมาตราเดียวกัน ส่วนความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ และความผิดฐานพยายามกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐ นั้น เป็นเพียงองค์ประกอบความผิดและบทลงโทษส่วนหนึ่งของมาตรา ๗ ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.๒๕๓๔ เท่านั้น
           ดังนั้น การที่โจทก์ไม่อ้างมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งมีโทษสูงกว่าโทษในความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง (เดิม), ๖๖ วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐ จึงต้องถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตามบทบัญญัติมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.๒๕๓๔ และเป็นการเกินคำขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคหนึ่งและวรรคสี่