พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.๒๕๓๔
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.๒๕๓๔ ก็เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามของเจ้าหน้าที่ให้สามารถดำเนินการกับขบวนการค้ายาเสพติดได้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะได้เพิ่มเติมฐานความผิดที่เป็นลักษณะพิเศษ คือ ความผิดฐานสมคบตามมาตรา ๘ นอกจากนี้ ยังมีการริบทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยใช้มาตรการริบทรัพย์สิน อันเป็นผลที่ตามต่อเนื่องมาจากการจับกุมด้วย
ในช่วงที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ยังไม่ออกใช้บังคับ ผู้สืบสวนก็ต้องรอว่าเมื่อใดจะสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้พร้อมของกลาง ส่วนพยานหลักฐานที่รวบรวมมาก็แทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร เพราะต้องรอจับกุมตัวการใหญ่ได้พร้อมของกลางเท่านั้น พระราชบัญญัตินี้จึงออกมาเพื่ออุดช่องว่าง และอาศัยพยานหลักฐานต่าง ๆ ก็เพียงพอที่จะนำตัวการที่อยู่เบื้องหลัง มาลงโทษได้ดีกว่าพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ เพียงอย่างเดียว
"มาตรา ๘ ผู้ใดสมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้นั้น สมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าได้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันตามวรรคหนึ่ง ผู้สมคบกันนั้นต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น"
การสมคบ คือ การแสดงออกซึ่งความตกลงจะกระทำผิดร่วมกัน ไม่เพียงแต่คุยชักชวนกันเท่านั้น แต่จะต้องมีหลักฐานที่แสดงถึงการตกลง เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดนั้นประกอบ โดยไม่ต้องคำนึงว่าได้กระทำความผิดตามที่ได้สมคบกันหรือไม่ การสมคบจึงเทียบเคียงกับฎีกาในเรื่องซ่องโจร กล่าวคือ ต้องมีพยานยืนยันได้ว่า จำเลยกับพวกได้คบคิดร่วมกันประชุมปรึกษาหารือกันที่ไหน เมื่อใด และได้ตกลงกันจะกระทำความผิดอย่างใด ดังนั้น ความผิดฐานสมคบตามมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง ก็จะต้องมีพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า มีการตกลงกัน หาใช่ว่าเมื่อฟังว่าเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดแล้ว จะต้องรับฟังเป็นยุติได้ว่าได้กระทำความผิดฐานสมคบด้วยแต่อย่างใดไม่
กรณีการจะซื้อจะขายยาเสพติด ซึ่งผู้ขายมีเจตนาขาย ผู้ซื้อมีเจตนาซื้อ ทั้งสองแม้มีเจตนาต่างกัน แต่เมื่อมีการตกลงกันแล้ว ก็ถือได้ว่ามีการสมคบกันที่จะกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดแล้ว หาใช่ว่าจะต้องมีเจตนาเดียวกันหรือเจตนาร่วมกันไม่ และการสมคบต้องมีเจตนาพิเศษ เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และมีเจตนาธรรมดา คือ รู้สำนึกในการที่กระทำและขณะเดียวกันประสงค์ต่อผลนั้นโดยรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอก
เมื่อได้มีการตกลงกันแล้วแม้คนใดคนหนึ่งไปลงมือกระทำความผิด อีกคนหนึ่งก็ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้ลงมือด้วยตามมาตรา ๘ วรรคสอง แม้ผู้นั้นจะไม่ได้ร่วมลงมือกระทำความผิดในลักษณะของตัวการร่วมก็ได้ เช่น ก. จัดหารถยนต์และทำช่องลับบรรจุยาเสพติด แล้ว ข. ทำหน้าที่ขับรถไปรับยาเสพติดไปขาย การกระทำของ ก. ไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่เป็นความผิดฐานสมคบ
เมื่อมีการสมคบกัน ต่อมา ได้มีการกระทำความผิดหลักจนสำเร็จ ความผิดฐานสมคบและความผิดหลักเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษบทหนัก
ถ้าความผิดหลักอยู่ในระหว่างการสอบสวน ยังไม่ได้ฟ้องคดีต่อศาล ย่อมสามารถดำเนินคดีกับผู้ที่ถูกฟ้องในข้อหาสมคบได้ โดยการแจ้งข้อหาเพิ่มเติม และฟ้องคดีไปในคราวเดียวกันกับความผิดข้อหาหลัก เมื่อศาลฟังได้ว่าผู้ที่ลงมือกระทำความผิดหลักได้กระทำความผิดฐานสมคบด้วย ศาลจะลงโทษในความผิดหลักเพียงบทเดียว แต่ถ้าความผิดหลักได้ฟ้องคดีต่อศาลไปแล้ว ภายหลังหากฟ้องผู้กระทำผิดในข้อหาสมคบอีก ก็จะเป็นฟ้องซ้อนหรือฟ้องซ้ำ
"มาตรา ๖ ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้ใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น
(๑) สนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด
(๒) จัดหาหรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ยานพาหนะ สถานที่หรือวัตถุใด ๆ เพื่อประโยชน์ หรือให้ความสะดวกแก่การกระทำความผิด หรือเพื่อมิให้ผู้กระทำความผิดถูกลงโทษ
(๓) จัดหาหรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ที่ประชุม ที่พำนัก หรือที่ซ่อนเร้นเพื่อช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำความผิด หรือเพื่อช่วยให้ผู้กระทำความผิดพ้นจากการถูกจับกุม
(๔) รับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด จากผู้กระทำความผิดเพื่อประโยชน์หรือให้ความสะดวกแก่การกระทำความผิด หรือเพื่อมิให้ผู้กระทำความผิดถูกลงโทษ
(๕) ปกปิด ซ่อนเร้นหรือเอาไปเสียซึ่งยาเสพติดหรือวัตถุใด ๆ ที่ใช้ในการกระทำความผิดเพื่อช่วยเหลือผู้กระทำความผิด
(๖) ชี้แนะ หรือติดต่อบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์ในการกระทำความผิด
ผู้ใดจัดหาหรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ที่พำนักหรือที่ซ่อนเร้นเพื่อช่วยบิดา มารดา บุตร สามี หรือภริยาของตนให้พ้นจากการถูกจับกุม ศาลจะไม่ลงโทษผู้นั้นหรือลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้"