วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2560

อธิบาย พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2560

             พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕๖๐  ได้แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ ดังนี้

             ๑.  ให้ยกเลิกความในวรรคสามของมาตรา ๑๕  แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ.๒๕๔๕  และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
                  จากเดิม “การผลิต  นําเข้า  ส่งออก  หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท  ๑  ตามปริมาณ ดังต่อไปนี้  ให้ถือว่าเป็นการผลิต  นําเข้า  ส่งออก  หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่าย"
                  แก้ไขเป็น  "การผลิต  นําเข้า  ส่งออก  หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท  ๑  ตามปริมาณ ดังต่อไปนี้  ให้สันนิษฐานว่าเป็นการผลิต  นําเข้า  ส่งออก  หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่าย"

             ๒.  ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๑๗  แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒  และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
                  จากเดิม “การมียาเสพติดให้โทษในประเภท  ๒  ไว้ในครอบครองคํานวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ หนึ่งร้อยกรัมขึ้นไป  ให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่าย”
                  แก้ไขเป็น “การมียาเสพติดให้โทษในประเภท  ๒  ไว้ในครอบครองคํานวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ หนึ่งร้อยกรัมขึ้นไป ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่าย”

             ๓.  ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๒๖  แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒  และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
                   จากเดิม “การมียาเสพติดให้โทษในประเภท ๔  หรือในประเภท ๕  ไว้ในครอบครองมีปริมาณตั้งแต่ สิบกิโลกรัมขึ้นไป  ให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่าย”
                   แก้ไขเป็น “การมียาเสพติดให้โทษในประเภท  ๔  หรือในประเภท  ๕  ไว้ในครอบครองมีปริมาณตั้งแต่ สิบกิโลกรัมขึ้นไป  ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่าย”

(หมายเหตุ.-  แต่เดิมการมียาเสพติดให้โทษเกินปริมาณที่กําหนดไว้ ให้ถือเป็นเด็ดขาดว่าผู้นั้นกระทําเพื่อจําหน่าย โดยไม่ได้เปิดโอกาสให้พิจารณาจากพฤติการณ์หรือคํานึงถึงเจตนาที่แท้จริงของผู้กระทําความผิดและไม่ได้ให้สิทธิ ผู้ต้องหาหรือจําเลยในการพิสูจน์ความจริงในคดี จึงแก้ไขปรับปรุงบทบัญญัติดังกล่าวให้มีลักษณะเป็นเพียง ข้อสันนิษฐาน  เพื่อให้ผู้ต้องหาหรือจําเลยมีโอกาสพิสูจน์ความจริงได้
                   -  บทบัญญัติมาตรา ๑๕ วรรคสาม  มาตรา ๑๗ วรรคสอง  และมาตรา ๒๖ วรรคสอง  แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้  ไม่ให้ใช้บังคับแก่คดีที่ศาลชั้นต้นมีคําพิพากษาแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ  และให้นํากฎหมาย ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ  บังคับแก่คดีดังกล่าวต่อไปจนกว่าคดีถึงที่สุด
                   -  คดีซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลชั้นต้นในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่ายยื่นคําแถลงขอสืบพยานหลักฐานเพิ่มเติมว่าการกระทําของจําเลยเป็นการกระทํา เพื่อจําหน่ายหรือไม่  ก็ให้ศาลสืบพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร)

              . ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖๕  แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ.๒๕๔๕  และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน 
                   จากเดิม “มาตรา ๖๕  ผู้ใดผลิต  นําเข้า  หรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท  ๑  อันเป็นการฝ่าฝืน มาตรา  ๑๕  ต้องระวางโทษจําคุกตลอดชีวิต  และปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาท
                    ถ้าการกระทําความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทําเพื่อจําหน่าย  ต้องระวางโทษประหารชีวิต 
                    ถ้าการกระทําความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการผลิตโดยการแบ่งบรรจุ  หรือรวมบรรจุ  และมีปริมาณคํานวณเป็นสารบริสุทธิ์ หรือมีจํานวนหน่วยการใช้ หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่ถึงปริมาณที่กําหนดตามมาตรา ๑๕ วรรคสาม ต้องระวางโทษ จําคุกตั้งแต่สี่ปีถึงสิบห้าปี  หรือปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสามแสนบาท  หรือทั้งจําทั้งปรับ 
                    ถ้าการกระทําความผิดตามวรรคสาม  เป็นการกระทําเพื่อจําหน่าย  ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่สี่ปี ถึงจําคุกตลอดชีวิต  และปรับตั้งแต่สี่แสนบาทถึงห้าล้านบาท”
                    แก้ไขเป็น “มาตรา ๖๕  ผู้ใดผลิต  นําเข้า  หรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท  ๑  อันเป็นการฝ่าฝืน มาตรา  ๑๕  ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่สิบปีถึงจําคุกตลอดชีวิต  และปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาท 
                    ถ้าการกระทําความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทําเพื่อจําหน่าย  ต้องระวางโทษจําคุกตลอดชีวิต  และปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาท  หรือประหารชีวิต 
                    ถ้าการกระทําความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการผลิตโดยการแบ่งบรรจุ  หรือรวมบรรจุ  ต้องระวางโทษ จําคุกตั้งแต่สี่ปีถึงสิบห้าปี  หรือปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสามแสนบาท  หรือทั้งจําทั้งปรับ ถ้าการกระทําความผิดตามวรรคสาม  เป็นการกระทําเพื่อจําหน่าย  ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่สี่ปี ถึงจําคุกตลอดชีวิต  และปรับตั้งแต่สี่แสนบาทถึงห้าล้านบาท”

               ๕. ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖๗  แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ.๒๕๔๕  และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน  
                   จากเดิม “มาตรา ๖๗  ผู้ใดมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท  ๑  โดยไม่ได้รับอนุญาตและมีปริมาณคํานวณเป็นสารบริสุทธิ์ หรือมีจํานวนหน่วยการใช้ หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่ถึงปริมาณที่กําหนดตามมาตรา ๑๕ วรรคสาม  ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี  หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท  หรือทั้งจําทั้งปรับ"
                   แก้ไขเป็น “มาตรา ๖๗  ผู้ใดมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท  ๑  โดยไม่ได้รับอนุญาต  ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี  หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท  หรือทั้งจําทั้งปรับ

(หมายเหตุ.-  อัตราโทษสําหรับความผิดเกี่ยวกับ การผลิต  นําเข้า  หรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท  ๑  ที่กําหนดโทษให้จําคุกตลอดชีวิต  และปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาท  หรือประหารชีวิต  ยังไม่เหมาะสม จึงแก้ไขใหม่ 
                   -  ในกรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษผู้กระทําความผิดตามมาตรา ๖๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒  ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และคดีถึงที่สุดแล้ว  ถ้าผู้กระทําความผิดยังไม่ได้รับโทษ หรือกําลังรับโทษอยู่  เมื่อความปรากฏแก่ศาล หรือเมื่อผู้กระทําความผิด ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้นั้น ผู้อนุบาลของผู้นั้นหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ให้ศาลชั้นต้นที่พิพากษาคดีนั้นมีอํานาจกําหนดโทษใหม่ตามมาตรา ๖๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้  ในการที่ศาลจะกําหนดโทษใหม่นี้  ให้ศาลมีอํานาจไต่สวนผู้ที่เกี่ยวข้องตามที่เห็นว่าจําเป็น  ถ้าปรากฏว่า ผู้กระทําความผิดได้รับโทษมาบ้างแล้ว และศาลเห็นเป็นการสมควร  ศาลจะรอการลงโทษที่เหลืออยู่หรือจะปล่อยผู้กระทําความผิดไปก็ได้)