วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

แยกคดีเสพออกจากคดีจำหน่าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  5522/2556
พระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง
              ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาอ้างว่า การกระทำความผิดของจำเลยในคดีนี้เป็นการกระทำความผิดในคราวเดียวกันกับคดีเสพเมทแอมเฟตามีนตามคำร้องที่ ฟ.87/2549 ของศาลชั้นต้น และฐานความผิดตามคดีนี้เข้าองค์ประกอบตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 19 ที่จำเลยควรได้รับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าวในคราวเดียวกันกับคดีเสพเมทแอมเฟตามีน แต่พนักงานสอบสวนไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวโดยแยกดำเนินคดีนี้แก่จำเลยเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก จึงเป็นการไม่ชอบนั้น
              เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ใดต้องหาว่ากระทำความผิดฐานเสพยาเสพติด เสพและมีไว้ในครอบครอง เสพและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย หรือเสพและจำหน่ายยาเสพติดตามลักษณะ ชนิด ประเภท และปริมาณที่กำหนดในกฎกระทรวง ถ้าไม่ปรากฏว่าต้องหาหรืออยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีในความผิดฐานอื่น ซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษจำคุกหรืออยู่ในระหว่างรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาล ให้พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหาไปศาลภายในสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่เวลาที่ผู้ต้องหานั้นมาถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวน เพื่อให้ศาลพิจารณามีคำสั่งให้ส่งตัวผู้นั้นไปตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติด เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัย หรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่นที่เกิดจากตัวผู้ต้องหานั้นเอง หรือจากพฤติการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งทำให้ไม่อาจนำตัวผู้ต้องหาไปศาลภายในกำหนดเวลาดังกล่าวได้” และ
             กฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และปริมาณของยาเสพติด พ.ศ.2546 บัญญัติว่า
             “ข้อ 1 ลักษณะ ชนิดและประเภทของยาเสพติด สำหรับความผิดฐานเสพยาเสพติดตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง มีดังต่อไปนี้
                     (1) ยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 มี 6 ชนิด ได้แก่
                           (ก) เฮโรอีน
                           (ข) เมทแอมเฟตามีน
                           (ค) ...
               ข้อ 2 ยาเสพติดตามข้อ 1 สำหรับความผิดฐานเสพและมีไว้ในครอบครองความผิดฐานเสพและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและความผิดฐานเสพและจำหน่ายยาเสพติด ตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง ต้องมีปริมาณดังต่อไปนี้
                   (1) ยาเสพติดให้โทษในประเภท 1
                           (ก) เฮโรอีนมีน้ำหนักสุทธิไม่เกินหนึ่งร้อยมิลลิกรัม
                           (ข) เมทแอมเฟตามีนมีปริมาณไม่เกินห้าหน่วยการใช้ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่เกินห้าร้อยมิลลิกรัม
                           (ค) ...”
                เห็นได้ว่าเจตนารมณ์ของบทบัญญัตินี้ต้องการให้พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหาที่กระทำความผิดฐานเสพยาเสพติด เสพและมีไว้ในครอบครอง เสพและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย หรือเสพและจำหน่ายยาเสพติดนั้นไปส่งศาลเพื่อให้ศาลพิจารณามีคำสั่งไปในคราวเดียว
                เมื่อปรากฏว่าจำเลยเสพเมทแอมเฟตามีนครึ่งเม็ด และที่เหลืออีกครึ่งเม็ดจำหน่ายให้แก่นายสมบัติ มีปริมาณหน่วยการใช้ครึ่งเม็ด ซึ่งไม่เกินห้าหน่วยการใช้และมีปริมาณน้ำหนักสุทธิไม่ปรากฏชัด ซึ่งไม่เกินห้าร้อยมิลลิกรัม เมทแอมเฟตามีนที่จำเลยเสพและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายดังกล่าว มีลักษณะ ชนิด ประเภท และปริมาณไม่เกินที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และปริมาณของยาเสพติด พ.ศ.2546 ข้อ 1 (1) (ข) และข้อ 2 (1) (ข)
                ดังนั้น เมื่อในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดและจำเลยเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดแล้ว การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นคดีนี้อีก เป็นการขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
                ปัญหานี้แม้จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
                พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์