วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ของกลางอันพึงต้องริบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  ๕๖๙๘/๒๕๕๕
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ (๒) วรรคสาม, ๖๖ วรรคหนึ่ง, ๑๐๒
ป.อ. มาตรา ๓๒ , ๓๓ (๒)
                  จำเลยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ติดต่อขายเมทแอมเฟตามีนโดยนัดส่งมอบบริเวณที่เกิดเหตุ ต่อมา จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนของกลางไปบริเวณที่เกิดเหตุ และเจ้าพนักงานตำรวจยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางได้ที่ตัวจำเลย โทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางจึงเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ หรือวัตถุอื่นซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันพึงต้องริบตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๑๐๒
                ส่วนรถจักรยานยนต์ของกลาง ทางนำสืบโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยนำมาใช้เป็นยานพาหนะสำหรับการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และเจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้ค้นพบเมทแอมเฟตามีนที่รถจักรยานยนต์ของกลาง ดังนี้ รถจักรยานยนต์ของกลางจึงเป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยใช้เดินทางมายังที่เกิดเหตุ ไม่ใช่เครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะหรือวัตถุอื่นซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๑๐๒ และไม่ใช่ทรัพย์สินที่ทำหรือมีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยได้กระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๒ , ๓๓ (๒) จึงไม่อาจริบได้

คําพิพากษาศาลฎีกาที่  ๖๑๖๘/๒๕๕๔
ป.อ.  ริบทรัพย์ที่ใช้ในการกระทําความผิด (มาตรา ๓๓)
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ (มาตรา ๑๐๒)
               จำเลยที่ ๑ ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองมีปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์ถึง ๑๑๗.๑๐๗ กรัม เกินกว่า ๓๗๕ มิลลิกรัม จึงเข้าข้อสันนิษฐานว่า จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคสาม (๒) ซึ่งเป็นข้อสันนิษฐานเด็ดขาด จำเลยที่ ๑ จึงมีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
               จําเลยที่ ๑ ขับรถจักรยานยนต์โดยมีจําเลยที่ ๒ นั่งซ้อนท้าย ระหว่างที่จำเลยที่ ๑ ขับรถจักรยานยนต์หลบหนีเจ้าพนักงานตํารวจ จําเลยที่ ๒ ได้โยนห่อเมทแอมเฟตามีนทิ้งข้างทาง ไม่ปรากฏว่าจําเลยที่ ๑ ได้ดัดแปลงสภาพรถจักรยานยนต์เพื่อซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนแต่อย่างใด รถจักรยานยนต์จึงมิใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทําความผิดฐานมีแมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย มิอาจริบรถจักรยานยนต์ของกลางได้ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๑๐๒ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓
               ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาริบรถจักรยานยนต์ของกลางมานั้น จึงไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นแก้ไขให้ถูกต้อง โดยเห็นสมควรให้คืนแก่เจ้าของได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๒๕

คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๖๒๔/๒๕๕๔                                                  
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒  (มาตรา ๑๐๒)
              จําเลยทั้งสองร่วมกันใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางติดต่อจําหน่ายกัญชาของกลาง และใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะนํากัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ จํานวน ๒ แท่ง น้ำหนัก ๒,๐๗๗.๓๓ กรัม ตกลงซื้อขายกัญชากันในราคา ๕๒,๐๐๐ บาท นัดส่งมอบในวันเกิดเหตุที่บ้านเกิดเหตุ ดาบตํารวจ ช.  กับสายลับไปที่บ้านของจําเลยที่ ๑ นําเงินให้จำเลยที่ ๑ ดู แล้วจำเลยที่ ๑ ขับรถจักรยานยนต์ออกไป
              ต่อมา จําเลยที่ ๑ ขับรถจักรยานยนต์กลับมา มีจำเลยที่ ๒ นั่งซ้อนท้าย จำเลยที่ ๒ ขอดูเงิน จากนั้น จําเลยที่ ๑ ขับรถจักรยานยนต์พาจําเลยที่ ๒ ไปนานประมาณ ๓๐ นาที จึงกลับมา ลงจากรถจักรยานยนต์นํากระสอบปุ๋ยซึ่งบรรจุกัญชาของกลางส่งมอบให้ดาบตํารวจ ช.
              ฟังได้ว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่และรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะ ซึ่งจําเลยทั้งสองร่วมกันใช้ในการกระทําความผิดเกี่ยวกับการจําหน่ายกัญชาโดยตรง โทรศัพท์เคลื่อนที่และรถจักรยานยนต์ของกลางจึงเป็นทรัพย์สินที่พึงต้องริบตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๐๒

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๘๑๐/๒๕๕๓
ป.อ. ขอคืนของกลาง  (มาตรา ๓๓)
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒
             การที่จำเลยที่ ๒ เป็นหลานภริยาของผู้ร้องและพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกับผู้ร้อง กับการที่จำเลยที่ ๒ ใช้รถยนต์กระบะของกลางเป็นประจำ พฤติการณ์ดังกล่าวจึงทำให้ไม่น่าเชื่อว่าในวันเกิดเหตุจำเลยที่ ๒ จะขอยืมรถยนต์กระบะของกลางไปใช้ดังที่ผู้ร้องนำสืบกล่าวอ้าง เชื่อว่าเป็นเรื่องที่ผู้ร้องยินยอมอนุญาตให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหลานภริยานำรถยนต์กระบะของกลางดังกล่าวไปใช้ตลอดเวลาตามที่จำเลยที่ ๒ ต้องการใช้ โดยผู้ร้องมิได้คำนึงถึงว่าจำเลยที่ ๒ จะนำรถไปใช้ในกิจการใด
             เมื่อจำเลยที่ ๒ นำรถยนต์กระบะของกลางไปใช้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษเช่นนี้ ย่อมถือว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามโดยปริยายแล้ว